วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

我的腿很酸 = ขาของฉันเปรี้ยวจัง ???

               วันนี้เราจะมาพูดถึงคำว่า 酸 【suān】กัน คำว่า 酸 แปลว่า เปรี้ยว (รสชาติ) ถ้าอย่างงั้น 我的腿很酸【wǒ de tuǐ hěn suān】 แปลว่า ขาของฉันเปรี้ยวจัง  อย่างงั้นหรอ ???  แหะๆ ไม่ใช่แน่นอนครับ คงไม่มีใครอยู่ดีๆก็ไปเลียขาคนอื่นแล้วบอกว่าขามีรสชาติเปรี้ยวแน่นอน

               คงพอจะเดาออกแล้วนะครับว่า คำว่า 酸 ไม่ได้มีความหมายเดียวแน่ๆ เรามาดูกันว่า  酸 แปลว่าอะไรได้บ้าง

ความหมายที่ 1 ของ 酸

        = เปรี้ยว (รสชาติ)  

         ตัวอย่างเช่น 

         柠檬很酸。 【Níngméng hěn suān】 มะนาวเปรี้ยวมาก
         这道菜太酸了。【Zhè dào cài tài suān le】 อาหารจานนี้เปรี้ยวเกินไป

ความหมายที่ 2 ของ 酸

        = เมื่อย  

        ทำไม 酸 มันถึงแปลว่าเมื่อยได้หล่ะ อันนี้ผมเดาเอานะครับ เหอๆ แต่ก็สามารถทำให้จำคำนี้ได้แม่น เวลาเราไปวิ่ง วิ่งเสร็จ เราจะรู้สึกเมื่อยใช่มั้ยครับ ที่เมื่อยก็เพราะว่า ร่างกายขับกรดแลกติกออกมา ซึ่ง สิ่งที่เป็นกรดนั้นมีรสเปรี้ยว เลยทำให้เป็นที่มาของ 酸 Smiley

         ตัวอย่างเช่น 

         跑步跑了2个小时,我的腿很酸。
       【pǎobù pǎo le liǎng gè xiǎoshí ,wǒ de tuǐ hěn suān】
        วิ่งมา 2 ชม.ละ เมื่อยขามากเลย

         手酸 【shǒu suān】 เมื่อยมือ

我的腿很酸  VS  我的腿很疼

 2 ประโยคนี้ นักเรียนไทยมักจะใช้ผิดบ่อยๆ เพราะว่า เริ่มเรียนใหม่ๆ มักจะเรียนแค่ 疼 【téng】 = เจ็บ   ส่วน 酸 【suān】= เปรี้ยว  ไม่รู้ว่าเมื่อยจะพูดยังไง
        ตัวอย่างเช่น เวลาไปตีแบดกลับมา รู้สึกว่า เมื่อยๆ เลยพูดกับเพื่อนว่า

          我打羽毛球打了两个小时,我的腿很疼。
          ซึ่งไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องควรจะพูดว่า

          我打羽毛球打了两个小时,我的腿很酸。 
         【Wǒ dǎ yǔmáoqiú dǎ le liǎng gè xiǎoshí ,wǒ de tuǐ hěn suān】
          ฉันตีแบดมา 2 ชม. ขาเมื่อยมาก!

          ที่ใช้คำว่า 疼 ไม่ได้ เพราะว่า คำว่า 疼 ในที่นี้เป็นการเจ็บจากอาการบาดเจ็บ ไม่ใช่ เจ็บปวดกล้ามเนื้อจากการเมื่อยล้า ถ้าใช้คำว่า 我的腿很疼 อาจจะคิดได้ว่า อ่อ ไปหกล้มมา หรือว่า ขาพลิก ทำให้ขาเจ็บ

          วันนี้เรียนคำว่า 酸 กันแล้ว เวลาคราวหน้าคุยกับเพื่อน ต้องการบอกว่าเมื่อยก็ระวังอย่าใช้คำว่า 疼 อีกนะครับ ^^ เดี๋ยวเพื่อนๆจะเข้าใจผิดกันหมด Smiley

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

三斤的鱼 กับ 三斤鱼 เหมือนกันมั้ยนะ??

วันนี้เราจะมาดูความสำคัญของ 的 กันนะครับ

เพื่อนๆลองนึกดูก่อนนะครับ ว่า 2 ประโยคต่อไปนี้ความหมายเหมือนกันมั้ย

1. 我今天去菜市场买了三斤鱼。【Wǒ jīntiān qù cài shìchǎng mǎi le sān jīn yú】
2. 我今天去菜市场买了三斤鱼。【Wǒ jīntiān qù cài shìchǎng mǎi le sān jīn de yú】

2 ประโยคนี้พูดถึงไปตลาดซื้อปลามา 3 ชั่ง (1 โลครึ่ง)
แต่ประโยคแรกเป็น 三斤鱼 ประโยคที่ 2 เป็น 三斤

เพื่อนๆที่เรียนภาษาจีนมา คงจะรู้ว่า 的 ในบางประโยค สามารถละได้
ตัวอย่างเช่น 我的爸爸 สามารถเขียนเป็น 我爸爸 ได้ มีความหมายเหมือนกันทุกประการ

แต่ !!!!  ไม่ได้ใช้ได้กับทุกประโยคนะครับ
โดยเฉพาะด้านหน้าของ 的 เป็น คำศัพท์ที่เกี่ยวกับ "น้ำหนัก"

我的爸爸  =  我爸爸
แต่ว่า 三斤的鱼 ≠ 三斤鱼 นะครับ

ความหมายของ 三斤鱼 ก็คือ


ส่วน 三斤的鱼 คือ


ดูจากรูปพอจะเข้าใจกันแล้วนะครับ

三斤鱼 อาจจะเป็นปลาตัวเดียวหนักโลครึ่ง หรือว่า เป็นปลาหลายๆตัวรวมกันแล้วหนักโลครึ่ง ก็ได้

ส่วน 三斤的鱼 จะต้องเป็นปลาตัวเดียวที่หนักโลครึ่ง เท่านั้น

“A 的 B”  คำว่า 的 จะใช้เน้นแสดงความเป็นเจ้าของ หรือ บ่งบอกลักษณะพิเศษ A ให้กับ B

คำว่า 三斤的鱼 เป็นการพูดถึง ปลา ถ้างั้นปลาตัวนี้มีลักษณะพิเศษยังไงหล่ะ ก็คือ หนักโลครึ่ง ( 3 ชั่ง ) 

เพราะฉะนั้น
คำว่า 我的爸爸 และ 我爸爸 ความหมายโดยรวมเหมือนกัน
แต่จริงๆแล้วการเน้นจะแตกต่างกัน

我的爸爸 เป็นการเน้นให้คนฟังรู้ว่า เขาเป็นพ่อของฉันนะ ไม่ใช่พ่อของคนอื่น
ส่วน 我爸爸 อาจจะไม่ได้เน้นขนาดนั้น

ตัวอย่างเช่น มีคนถามว่า

这是谁的笔? 【zhè shì shuí de bǐ ?】

เวลาเราตอบก็ต้องตอบว่า 

这是我的笔 ไม่สามารถพูดว่า 这是我笔 ได้

เพราะเราต้องการเน้นให้คนฟังรู้ว่า นี่คือ ปากกาของเรานะ ไม่ใช่ปากกาของคนอื่น


หวังว่าเพื่อนๆคงจะเข้าใจความสำคัญของ 的 กันมากขึ้นนะครับ ^^


วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความลับ (ที่ไม่ลับ) ของ b p m f

                 พอดีอ่านเจอใน Pantip.com และกระทู้จากเวบอื่นๆ พบว่า มีการถกเถียงกันว่า เสียง b p m f  จริงๆแล้วอ่านยังไงกันแน่

                ปกติ เสียง b p m f เวลาอ่าน จะมีสระ o กำกับ ออกเสียงเป็น bo po mo fo มีหลายกระทู้ถกเถียงกันว่า จริงๆแล้ว มันอ่านว่า "โป โฟ โม โฟ" หรือว่า "เปอ เพอ เมอ เฟอ" หรือว่า "ปอ พอ มอ ฟอ" กันแน่ บางคนก็บอกว่า อาจารย์ชาวปักกิ่งสอนแบบนึง อาจารย์ไต้หวันสอนแบบนึง อาจารย์จากยูนนานสอนอีกแบบนึง ตอนผมเรียนใหม่ๆ อาจารย์ผม ก็สอนผมอ่านว่า "โป โพ โม โฟ" แต่หลังจากที่ผมเรียนวิชา 汉语语言学 ทำให่รู้ว่า จริงๆแล้ว bo po mo fo ไม่ได้ออกเสียงตามที่พูดมาทั้งหมด ในภาษาจีน จริงๆแล้ว ไม่มีสระ o ครับ คนที่คิดตัวอักษรพินอิน คิดว่า เสียง b p m f เป็นเสียงที่ใช้ริมฝีปากในการออกเสียง เวลาออกเสียงจะมีสระ u ติดมาด้วย ทำให้ไม่จำเป็นต้องเขียนลงไปในพินอิน ซึ่งเป็นการคิดที่ไม่รอบคอบมากๆ เพราะบางประเทศอาจจะมี สระนี้อยู่จริงๆ ตัวอย่างเช่น ประเทศไทย เป็นต้น

               เพราะฉะนั้น เสียงที่ถูกต้องจริงๆแล้วคือ b(u)o , p(u)o , m(u)o , f(u)oเสียงที่ออกมาจะเป็นสระ uo ในภาษาจีน และ คล้ายสระ อัว ในภาษาไทย ทำให้อ่านออกมาเป็น "ปัว พัว มัว ฟัว"  

               ถ้ายังไงลองฟังเสียงจริงๆจากโปรแกรมฟังเสียงพินอิน ตามลิงค์ด้านล่างนี้ดูนะครับ ว่า b p m f ออกเป็นเสียง "ปัว พัว มัว ฟัว"  จริงๆรึเปล่า  Smiley


ปล. ไม่มีโปรแกรม Dropbox ก็สามารถ Download ได้นะครับ แต่โปรแกรม Dropbox เป็นโปรแกรมที่น่าใช้มากครับ เอาไว้แชร์ไฟล์ให้กันได้ ถ้าใครสนใจ Download โหลดได้ที่นี่เลยครับ

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

难过 กับ 难受 เอ๊ะ! ใช้คำไหนดีนะ


               ผมเชื่อว่าทุกๆคน คงมีบางเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ เสียใจ เศร้าใจ บ้างใช่มั้ยหล่ะครับ เอ๊ะ! ถ้าเราต้องการพูดเป็นภาษาจีนจะพูดยังไงนะ ในภาษาจีนคำที่ใช้แสดงความรู้สึกไม่สบายใจ เสียใจ เศร้าใจ ที่ใช้กันบ่อยๆมีอยู่ 2 คำ คือ

“难过”  และ “难受”

เอ๊ะ! ตัวอักษรคล้ายๆกัน ความหมายก็คล้ายๆกันอีก แล้วมันใช้ต่างกันยังไงนะ เรามาดูกัน

难过 【nánguò】

                 คำว่า 难过 ใช้กับความรู้สึกทางด้านจิตใจ รู้สึกเศร้าโศก รู้สึกเสียใจ ปกติมักจะใช้กับเรื่องที่กระทบจิตใจเราอย่างรุนแรง ทำให้ร้องไห้ออกมา

ตัวอย่างเช่น

他死了以后,她难过了好几个月。
【Tā sǐ le yǐhòu ,tā nánguò le hǎo jǐ gè yuè】
หลังจากที่เขาตายไปแล้ว เธอรู้สึกเศร้าโศกอยู่หลายเดือน

听说爸爸病了,我心里很难过。
【Tīngshuō bàba bìng le ,wǒ xīnlǐ hěn nánguò】
ได้ข่าวว่าพ่อป่วย ฉันรู้สึกแย่มาก (ในกรณีนี้อาจจะอาการค่อนข้างหนัก)

你考试不及格,我感到很难过。
【Nǐ kǎoshì bù jígé ,wǒ gǎndào hěn nánguò】
ฉันรู้สึกเสียใจมากกับเรื่องที่คุณสอบไม่ผ่าน

难受 【nánshòu】
                คำว่า 难受 ใช้ได้กับความรู้สึกไม่สบายทางร่างกายและจิตใจ
                     【1】ความหมายเดียวกับคำว่า 难过 แต่ระดับความไม่สบายใจอาจจะน้อยกว่า (สามารถใช้ 难过 แทนได้) ตัวอย่างเช่น

                                听说爸爸病了,我心里很难受。
                              【Tīngshuō bàba bìng le ,wǒ xīnlǐ hěn nánshòu】
                               ได้ข่าวว่าพ่อป่วย ฉันรู้สึกแย่มาก (ในกรณีนี้อาการอาจจะไม่หนักมาก แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง)

                                这次考试不及格,他觉得很难受。
                               【Zhè cì kǎoshì bù jígé ,tā juéde hěn nánshòu】
                                การสอบครั้งนี้เขาสอบไม่ผ่าน จิตใจรู้สึกแย่มาก

                    【2】เป็นความรู้สึกไม่สบายทางร่างกาย โดยมากจะใช้กับอาการป่วย (ไม่สามารถใช้ 难过 แทนได้) ตัวอย่างเช่น
                               因为晕车,他感到非常难受。
                              【Yīnwèi yūnchē ,tā gǎndào fēicháng nánshòu】
                               เขารู้สึกแย่มากเพราะว่ากำลังเมารถ

                               牙疼得很难受。
                              【Yá téng de hěn nánshòu】
                               ปวดฟันจนรู้สึกทรมานมาก

                               今天天气热得要命,我觉得很难受。
                              【Jīntiān tiānqì rè de yàomìng ,wǒ juéde hěn nánshòu】
                                วันนี้อากาศร้อนจะตายแล้ว ร้อนจนรู้สึกแย่มากเลยตอนนี้

非常~ 心里很~感到~头晕得~疼得~
 难过
 难受



                   เป็นยังไงบ้างครับ พอจะเข้าใจมั้ย ถ้ายังไงลองทำแบบฝึกหัดข้างล่างนี้ดูนะครับ จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น


แบบฝึกหัด

1.他知道自己做错了,心里很_______。
2.我刚刚不小心吃了过期的面包,现在肚子很______。
3.听到家里的狗死了,她很_______。
4.北京的冬天冷得很______。
5.我昨天晚上没睡觉,现在觉得很________。
6.妈妈,你别______,我错了,以后再也不会这样做了。

เฉลยอยู่ด้านล่างนะครับ










เฉลย
1. 难受,难过
2. 难受
3. 难过,难受(ใช้ได้ทั้งคู่ แต่ใช้ 难过 จะเหมาะสมกว่า)
4. 难受
5. 难受
6. 难过 (เวลาปลอบคนอื่น มักจะใช้ 难过 มากกว่า) 

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมเราถึงไม่พูดว่า 我学习了三个天 ?

                 วันนี้เรามาเรียนเรื่อง "ลักษณนามของเวลา" กันครับ ลักษณนามของเวลาจะค่อนข้างงงๆ เพราะไม่มีรูปแบบตายตัว บางคำจะต้องมี "个" บางคำมีหรือไม่มี "个" ก็ได้ บางคำห้ามใส่ "个" เป็นอันขาด ตัวอย่างที่เขียนผิดบ่อยๆเช่น

我学习了三个天”  ที่ถูกต้องคือ “我学习了三天”
我学习了三个年 ” ที่ถูกต้องคือ “我学习了三年”

ถ้าอย่างงั้นคำไหนใช้ “个” คำไหนไม่ใช้ “个” หล่ะ
ดูจากตารางนี้ได้เลยครับ

 ไม่ต้องใช้ “个”
ต้องใช้ “个”
ใช้หรือไม่ใช้ “个” ก็ได้ 
一秒 【yī miǎo】
วินาที
一个月【yí gè yuè】
เดือน
一个小时/一小时
yí gè xiǎoshí /yī xiǎoshí】
ชั่วโมง
一分钟 【yī fēnzhōng】
นาที
一天 【yì tiān】
วัน
一个钟头
yí gè zhōngtóu】
ชั่วโมง
一个星期/一星期
yí gè xīngqī /yī xīngqī】
สัปดาห์
一年 【yī nián】
ปี

一天 ,一年 ,一

                เวลาเราพูดเป็นภาษาไทยเราจะพูดว่า หนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี แต่ทำไมในภาษาจีน คำว่าเดือนต้องใช้ “个” หล่ะ
                จริงๆแล้วเป็นเพราะว่า ในภาษาจีนเวลานับเดือนจะไม่เหมือนกับภาษาไทย ภาษาไทยจะพูดว่า มกราคม กุมภาพันธ์..........   แต่ในภาษาจีนจะพูดเป็น 一月 ,二月 ,三月。。。。。เพราะฉะนั้นเพื่อกันคนอื่นฟังแล้วสับสน เลยต้องใช้ “个”เข้าไป เวลาคนอื่นฟังจะได้ไม่เข้าใจผิดว่า ตกลงพูดว่า "เดือนมกราคม" หรือว่า "1 เดือน" กันแน่ 

ตัวอย่างประโยค

                 1.  一个月有三十一天 【Yí gè yuè yǒu sān shí yì tiān】
                      1 เดือนมี 31 วัน

                 2.  我学了三年汉语 【Wǒ xué le sān nián hànyǔ】
                       ฉันเรียนภาษาจีนมาแล้ว 3 ปี

                 3.  我要去北京旅游一天 【Wǒ yào qù Běi jīng lǚyóu yì tiān】
                       ฉันจะไปเที่ยวที่ปักกิ่ง 1 วัน


“一钟头”,“一小时/一小时”

                 “钟头” และ “小时” แปลว่า ชั่วโมง ทั้งคู่ คำว่า 钟头 ค่อนข้างเป็นภาษาพูดมากกว่า 小时 
                 ในเมื่อมันแปลเหมือนกัน ถ้าอย่างงั้นทำไม 钟头 ต้องมี 个 แล้ว 小时 มีหรือไม่มี 个 ก็ได้หล่ะ  คำตอบคือ เพราะว่า 钟头 เป็นได้แค่คำนาม  ส่วน 小时 เป็นได้ทั้งคำนาม และ ลักษณนาม เพราะฉะนั้น 小时 จะมี 个 หรือไม่มีก็ได้

ตัวอย่างประโยค

                  1. 从这儿走路半个钟头就到学校 【Cóng zhèr zǒu lù bàn gè zhōngtóu jiù dào xuéxiào】
                      จากตรงนี้เดินครึ่งชม.ก็ถึงโรงเรียน

                  2. 他去了三个钟头还没回来 【Tā qù le sān gè zhōngtóu hái méi huí lái】
                       เขาออกไป 3 ชม.แล้วยังไม่กลับมาเลย

                   3. 他在这里打工,一小时10元 【Tā zài zhèlǐ dǎgōng ,yī xiǎoshí 10 yuán】
                        เขาทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ได้ชม.ละ 10 หยวน

               คำว่า 星期 ก็เหมือนกับ 小时 ครับ สามารถเป็นได้ทั้งคำนาม และ ลักษณนาม เพราะฉะนั้น สามารถมีหรือไม่มี 个 ก็ได้

               เป็นยังไงบ้างครับ พอจะเข้าใจมากขึ้นมั้ยว่าทำไมบางคำต้องใช้ 个 บางคำไม่ต้องใช้ ^^

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมเราถึงไม่พูดว่า 我吃饭在食堂?

           เห็นคนอื่นเค้าเขียนเรื่องไวยากรณ์กัน เลยอยากเขียนกับเค้ามั่ง แต่ก็ไม่อยากเขียนเหมือนคนอื่น ถ้าเพื่อนๆเข้ามาอ่านแล้วเจอบทความคล้ายๆกัน คงจะรู้สึก 没意思 ใช่มั้ยหล่ะครับ
           Blog ส่วนไวยากรณ์ของผมนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการนำตัวอย่างประโยคที่นักเรียนไทยมักจะแต่งผิดๆมาวิเคราะห์กัน วันนี้เรามาเริ่มตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานของรูปประโยคจีนกันครับ

ทำไมเราถึงไม่พูดว่า

我吃饭在食堂

นักเรียนไทยมักจะแต่งประโยคแนวนี้ออกมาเยอะมาก
เนื่องจากว่าถ้าแปลแบบตัวต่อตัว จะเหมือนภาษาไทยเด็ะ

                                                              我         吃饭      在      食堂
                                                            ฉัน      กินข้าว     ที่    โรงอาหาร

รูปประโยคของภาษาจีนคล้ายของภาษาไทยมาก
แต่ไม่เหมือนกันซะทั้งหมด เลยทำให้เขียนผิดอยู่บ่อยๆ

อาจารย์ของผมแนะนำว่าเวลาสอนนักเรียน
ให้นักเรียนจำว่ารูปประโยคของจีนนั้นเป็นการเรียงแบบ

"ตามเวลา (时间顺序)"

อาจจะมีคนงง อะไรคือรูปประโยคแบบเรียงตามเวลา
ลองคิดตามผมดูนะครับ

เวลาเราไปกินข้าวที่โรงอาหาร เราต้องไปที่โรงอาหารก่อนถึงจะกินข้าว หรือว่า เรากินข้าวก่อนแล้วค่อยไปที่โรงอาหาร  ???

แน่นอนว่า ต้องไปที่โรงอาหารก่อนถึงจะซื้อข้าวกินได้ ใช่มั้ยหล่ะครับ
เพราะฉะนั้น ในรูปประโยคของจีน

"ที่โรงอาหาร (在食堂) จะต้องอยู่หน้า กินข้าว (吃饭)"

เพราะฉะนั้น รูปประโยคที่ถูกต้องก็คือ

“我在食堂吃饭”
(Wǒ zài shítáng chī fàn)
ฉันกินข้าวที่โรงอาหาร

พอจะเข้าใจบ้างมั้ยครับ
ถ้ายังงงๆลองมาวิเคราะห์ประโยคต่อไปนะครับ

"9โมงเช้าฉันนั่งเครื่องบินไปกินข้าวที่ปักกิ่ง"

ถ้าคิดตามแบบรูปประโยคจีน
ก่อนอื่นก็ต้อง "นั่งเครื่องบิน" ก่อนใช่มั้ยครับ กี่โมงหล่ะ "9 โมงเช้า"
เพราะฉะนั้นก็ต้องถึง "9 โมงเช้า"  ก่อน ถึงจะ "นั่งเครื่องบิน" ได้ 
หลังจากนั้น ก็ถึง "ปักกิ่ง"
และหลังจากนั้นค่อย "กินข้าว"

เพราะฉะนั้นประโยคที่ถูกต้องคือ

我早上九点坐飞机去北京吃饭
(Wǒ zǎoshàng jiǔ diǎn zuò fēijī qù Běijīng chī fàn)
9โมงเช้าฉันนั่งเครื่องบินไปกินข้าวที่ปักกิ่ง



             พอจะเข้าใจมากขึ้นมั้ยครับ ถ้ายังไงก็ลองทำแบบทดสอบด้านล่างนี้ดูนะครับว่าเรียงประโยคถูกรึเปล่า


1.ฉันนั่งเครื่องบินไปประชุมที่เซี่ยงไฮ้ (坐飞机       开会      我      去上海)
2.ฉันนั่งรถเมล์ไปกินข้าวที่ถนนปักกิ่ง  (我   吃饭    去北京路    坐公交车)
3.เมื่อวานนี้ตอน9โมงเช้าฉันไปซื้อหนังที่ร้านหนังสือ (昨天早上九点     我   买书   去书店)

(เฉลยอยู่ด้านล่างนะครับ)






เฉลย

1.我坐飞机去上海开会             【Wǒ zuò fēijī qù Shànghǎi kāihuì】
2.我坐公交车去北京路吃饭     【Wǒ zuò gōngjiāochē qù Běijīng Lù chī fàn】
3.我昨天早上九点去书店买书   【Wǒ zuótiān zǎoshàng jiǔ diǎn qù shūdiàn mǎi shū】




วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรื่องหมูๆ 2 ————去超市买肉制品

ต่อจาก blog ที่แล้วนะครับ
ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรกเข้าไปอ่านได้ที่นี่ครับ


             ตอนที่แล้วเป็นเรื่องไปตลาดซื้อเนื้อหมู วันนี้เราจะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูกัน สำหรับคนที่เคยไปมาแล้วคงจะรู้แล้วว่า ผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูที่ประเทศจีนนั้นเยอะมากกกกก มีตั้งแต่ที่เราคุ้นหน้าค่าตากัน จนถึง อะไรไม่รู้ที่ดูน่ากลัวจนไม่กล้ากิน เรามาดูกันนะครับว่ามีอะไรบ้าง

1. 热狗肠  【règǒucháng】


"ไส้กรอก" นั่นเองครับ ในซุปเปอร์ของประเทศจีนนั้น มีไส้กรอกหลากหลายประเภทมาก ที่ถูกปากคนไทยที่สุด (รสชาติเหมือนที่ขายในไทยมากที่สุด) คนจะเป็น 脆皮热狗肠  【cuì pí règǒucháng】 ไส้กรอกประเภทนี้กัดแล้วจะรู้สึกเด้งๆหนึบๆ ไส้กรอกจะมีส่วนผสมของแป้งค่อนข้างน้อย  

ปล. วิธีดูว่าไส้กรอกมีส่วนผสมของแป้งเยอะขนาดไหน ให้ดูตรงคำว่า 淀粉 【diànfěn】 นะครับ เปอร์เซ็นของ 淀粉 ยิ่งเยอะ เนื้อจะยิ่งเละ ไม่ค่อยอร่อย ^^

2.  火腿  【huǒtuǐ】


"แฮม"  แฮมประเทศจีนนั้นไม่เหมือนประเทศไทยนะครับ แฮมบางชนิดมีส่วนผสมของแป้ง(淀粉)เยอะมาก จะไม่ค่อยอร่อยนะครับ 
ปกติเวลาผมซื้อแฮมกินจะซื้อของยี่ห้อนี้แหล่ะครับ 双汇 【shuānghuì】 และเลือกที่เป็นแฮมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตรงส่วนผสมจะเขียนว่า “无淀粉”  【wú diànfěn】 ซึ่งแปลว่า ไม่มีส่วนผสมของแป้ง รสชาติจะเหมือนของไทยที่สุดอ่ะครับ ^^

3. 培根 【péigēn】


"เบคอน" เบคอนในประเทศจีนจะมีให้เลือกหลายเกรดเหมือนกันนะครับ
ถ้าเขียนว่า 精选培根 【jīngxuǎn péigēn】จะเป็นเบคอนคุณภาพดีหน่อย มันจะน้อยหน่อย แต่ราคาก็แพงตามคุณภาพนะครับ ^^

4. 猪肉丸(肉丸)【zhūròu wán】


"ลูกชิ้นหมู"  ทางเหนือของประเทศจีนจะไม่ค่อยมีขายลูกชิ้นหมู แถบทางใต้โดยเฉพาะมณฑลกวางตุ้งจะขายเยอะเป็นพิเศษ ปกติร้านค้าส่วนใหญ่จะไม่เขียนคำว่า 猪肉丸 จะย่อลงมาเหลือแค่ 肉丸 ครับ ถ้าเวลาไปทานข้าวเจอคำว่า 肉丸 เดาได้ประมาณ 90% เป็นลูกชิ้นหมู จะมีแค่ร้านอาหารสำหรับอิสลามเท่านั้นที่คำว่า 肉丸 คือลูกชิ้นเนื้อวัว

คำศัพท์เพิ่มเติม

 猪筋丸【zhūjīn wán】 ลูกชิ้นเอ็นหมู
 牛肉丸【niúròu wán】 ลูกชิ้นวัว
 牛筋丸【niújīn wán】ลูกชิ้นเอ็นวัว 
鱼丸(鱼旦)  【yú wán (yúdàn)ลูกชิ้นปลา 
 墨鱼丸【mòyú wán】  ลูกชิ้นปลาหมึก

5. 猪肉松  【zhūròusōng】

"หมูหยอง"  สำหรับคนที่กำลังเตรียมตัวมาเรียนต่อที่ประเทศจีน ไม่ต้องเตรียมหมูหยองมานะครับ  เมืองจีนก็มีหมูหยองเหมือนกัน (แน่นอนสิ ร้านขายหมูหยองที่ไทย ก็ชื่อจีนๆทั้งนั้น ^^)  เพียงแต่ว่าหมูหยองในความคิดของคนจีน คืออาหารไว้ให้สำหรับเด็กเล็กๆกิน เสริมโปรตีนอ่ะครับ ผู้ใหญ่ไม่ค่อยๆกินกันเท่าไหร่ เวลาไปซุปเปอร์แล้วหาไม่เจอ ลองแวะๆไปมองดูตรงมุมขายอาหารเด็กนะครับ

นอกจากหมูหยองแล้ว ในซุปเปอร์เมืองจีนยังมีขาย

牛肉松【niúròusōng】 เนื้อหยอง
 鸡肉松【jīròusōng】 ไก่หยอง
 鱼肉松【yúròusōng】ปลาหยอง

ไม่ต้องกลัวนะครับ ไม่มี "狗肉松" แน่นอน  Smiley

6. 猪肉脯  【zhūròufǔ】


"หมูแผ่นหวาน" หมูแผ่นหวานของจีนแตกต่างกับหมูแผ่นหวานของไทยตรงที่ค่อนข้างแห้งกว่า ถ้าพูดถึงหมูแผ่น คงนึกถึงหมูแผ่น 2 ประเภท แบบแรกคือ หมูแผ่นหวาน ส่วนแบบที่ 2 คือ หมูแผ่นกรอบ  ประเทศจีนไม่มีขายหมูแผ่นกรอบนะครับ ถ้าใครชอบกิน ก่อนมาเรียนแนะนำให้เตรียมมาเผื่อนะครับ ^^

7. 腊肠  【làcháng】


"กุนเชียง" กุนเชียงจีนรสชาติไม่เหมือนของไทยเลยนะครับ
กุนเชียงจีนจะมีมันหมูผสมอยู่เยอะมาก รสชาติก็แปลกๆบอกไม่พูด
มีเพื่อนคนนึงเคยบอกว่า กุนเชียงจีน มีรสแบบซ่่าๆ ถ้ามีโอกาสยังไงก็ลองกินกันดูซักครั้งนะครับ เผื่อจะชอบ ^^

8. 火腿肠  【huǒtuǐcháng】


火腿肠 หน้าตาเหมือนไส้กรอก แปลออกมาก็เหมือนคำว่าไส้กรอก (Ham sausage) แต่ไม่ใช่ไส้กรอกนะครับ รสชาติคนละเรื่องเลย
火腿肠 ไม่ต้องเก็บในตู้เย็น มีส่วนผสมของแป้งเยอะมาก
คนจีนชอบนำมากินพร้อมกับ มาม่า ( 方便面 【 fāngbiànmiàn】)
ผมเคยกินครั้งนึง แล้วก็ไม่เคยคิดจะกินอีกเลย
火腿肠 กลิ่นค่อนข้างคาว เนื้อค่อนข้างเละ
และเนื่องจากว่าไม่ต้องเก็บในตู้เย็น ผมคิดว่าน่าจะใส่สารกันบูดลงไปด้วย
ผมเลยไม่ชอบกิน (ความเห็นส่วนตัวนะครับ ถ้ามีเพื่อนๆคนไหนที่ชอบ ก็ขออภัยด้วยนะครับ ^^)

9. 午餐肉 【wǔcānròu】


午餐肉 จริงๆแล้วคือ "แฮมกระป๋อง" ไม่ต้องเก็บในตู้เย็นเหมือนกันครับ
เวลาไปกิน สุกี้ (火锅  【huǒguō】) น่าจะเห็นเมนูนี้บ่อยๆ

10. 腊肉  【làròu】


ตอนที่เห็น 腊肉 ครั้งแรกรู้สึกกลัวมาก สีออกดำๆแปลกๆ และกลิ่นก็แรงมาก
ไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้เป็นของกินและกินได้ จนได้ไปเที่ยวจางเจียเจี้ย
เจ้าของที่พักเค้าทำอาหารไว้ให้กิน ก็ไม่รู้ว่าคืออะไรเลยกินเข้าไป
เอ๊ะ! รสชาติเหมือนเบคอนเลย หลังจากนั้นผมก็เลยเรียก 腊肉 ว่า "เบคอนเมืองจีน" มาตลอด จริงๆมันแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าสีมันจะดูน่ากลัว แต่มันกินได้จริงๆนะครับ รสชาติก็เหมือนเบคอน ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่า มันอาจจะเยอะไปหน่อย ผู้หญิงคงจะไม่ค่อยชอบกินกัน ^^

วันนี้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหมู 10 อย่างของประเทศจีน เป็นยังไงบ้างครับ รู้จักหรือว่าเคยกินทั้งหมดกี่อย่างเอ่ย Smiley